top of page

ฉีดโบท็อกซ์ 100 ยูนิต แล้วไม่เห็นผล สาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง?

  • รูปภาพนักเขียน: Nabi
    Nabi
  • 8 พ.ค.
  • ยาว 2 นาที
การฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) กลายเป็นหนึ่งในหัตถการที่หลายคนเลือกใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอย ลดขนาดกราม ยกกระชับ และปรับรูปหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด แต่หลายคนอาจประสบปัญหาฉีดแล้ว “ไม่เห็นผล” โดยเฉพาะกรณีที่ใช้โบท็อกซ์ในปริมาณถึง 100 ยูนิตแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับน้อยมากหรือแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน

Pure Clinic จะพาคุณมาไขข้อสงสัยเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้บริการโบท็อกซ์ได้อย่างมั่นใจและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด



สาเหตุที่ฉีดโบท็อกซ์ 100 ยูนิตแล้วไม่เห็นผล


1. จำนวนยูนิตที่ใช้อาจ “ไม่เพียงพอ” ต่อการฉีดจริง (สำหรับบางราย)


หลายคนเข้าใจว่าโบท็อกซ์ 100 ยูนิตคือปริมาณสูงมากในการฉีด 1 ครั้ง และควรเพียงพอสำหรับทั่วทั้งใบหน้า แต่ในความเป็นจริง ปริมาณที่ใช้ต้องขึ้นอยู่กับ ตำแหน่งและขนาดของกล้ามเนื้อ ที่ฉีด เช่น:

ตำแหน่ง

ปริมาณโดยประมาณ (หน่วย)

หน้าผาก (Forehead)

10–20

ร่องขมวดคิ้ว (Glabellar lines)

20–25

หางตา/ตีนกา (Crow’s feet)

12–24 (2 ข้าง)

กล้ามเนื้อกราม (Masseter)

50–80

คาง / ยกมุมปาก

4–8

จะเห็นได้ว่าในแต่ละบริเวณนั้น จะใช้ปริมาณยูนิตแตกต่างกันไปนะคะ ยิ่งถ้าเป็นกล้ามเนื้อกราม จะต้องใช้จำนวนยูนิตที่มากเป็นพิเศษ และขึ้นอยู่กับขนาดกรามของแต่ละคน ถ้าคนทีมีปัญหากรามใหญ่ และริ้วรอยทั่วใบหน้ามากเป็นพิเศษ อาจต้องเพิ่มเป็น 150 ยูนิต เพื่อให้ครอบคลุมปัญหาทั่วทั้งใบหน้าค่ะ ในกรณีนี้ การฉีด 100 ยูนิตอาจไม่เพียงพอ และส่งผลให้ผลลัพธ์จะดู “ไม่ชัดเจน” หรือแสดงผลแค่บางจุดเท่านั้น


ที่สำคัญ: หากคุณเลือกฉีดใน “บริเวณที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่” เช่น


  • กล้ามเนื้อน่อง (Calf Muscle): อาจต้องใช้โบท็อกซ์มากถึง 100–200 ยูนิตต่อข้าง ขึ้นอยู่กับขนาดกล้ามเนื้อ

  • กล้ามเนื้อบ่า (Trapezius): เพื่อให้บ่าดูเล็กลง บางเคสอาจใช้มากถึง 80–120 ยูนิตต่อข้าง

การใช้เพียง 100 ยูนิตในบริเวณเหล่านี้จึงแทบไม่เพียงพอ และอาจไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ เลย


สรุป: ในการฉีดโบท็อกซ์ หากไม่ได้วางแผนร่วมกับแพทย์ให้เหมาะสมกับกล้ามเนื้อของคุณ ก็อาจไม่เกิดผล หรือเกิดแค่บางจุดจนดูไม่สมดุล ถ้าฉีดน้อยไป = ไม่เห็นผล แต่ถ้าฉีดมากไป = ตึงจนดูแข็งเกินธรรมชาติ การวางแผนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ




2. ร่างกายดื้อโบท็อกซ์ (Botulinum Toxin Resistance)


ภาวะ “ดื้อโบท็อกซ์” หรือ Antibody-Mediated Resistance คือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อตัวยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ตามปกติ โดยพบได้ในกรณีที่:

  • เคยฉีดโบท็อกซ์ถี่เกินไป (เช่น ทุก 2–3 เดือนต่อเนื่อง)

  • เคยใช้ตัวยาที่มี “โปรตีนปนเปื้อน” สูง

  • ใช้โบท็อกซ์ที่คุณภาพต่ำหรือไม่มีมาตรฐานการผลิต


ถ้าหากเกิดการดื้อโบท็อกซ์แล้ว  วิธีรับมือคือ การเว้นช่วงฉีดอย่างน้อย 12-18 เดือน เพื่อให้ร่างกายลดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน  รวมถึงเปลี่ยนไปใช้โบท็อกซ์ที่บริสุทธิ์กว่า เช่น Xeomin เพราะ Xeomin เป็นโบท็อกซ์ที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์สูง ไม่มีโปรตีน carrier (complexing proteins) ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการดื้อยา ซึ่งมีความเสี่ยงในการดื้อต่ำกว่า ทั้งนี้ระหว่างพักการฉีดโบท็อกซ์ อาจเลือกใช้ทางเลือกอื่น เช่น เครื่องยกกระชับ Ultrafomer หรือ HIFU แทนชั่วคราว เพื่อยังคงผลลัพธ์ที่ดูอ่อนเยาว์ไว้ได้โดยไม่กระทบการรักษาในระยะยาวค่ะ


แนวทางป้องกัน:

  • เลือกใช้โบท็อกซ์บริสุทธิ์สูง เช่น Nabota, Neuronox, Dysport, Xeomin, Allergan

  • เว้นระยะฉีดห่างกันอย่างน้อย 4–6 เดือน

  • ตรวจสอบยี่ห้อและแหล่งที่มาของตัวยาทุกครั้งก่อนฉีด


สรุป: การใช้โบท็อกซ์อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพสูง รวมถึงเว้นระยะการฉีดเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการรักษาและผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดโบท็อกซ์ในอนาคตได้ นอกจากนี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษาได้มากขึ้นค่ะ




3. คลินิกใช้กลลวงว่า 100 ยูนิต แต่จริงๆ ฉีดให้ไม่ถึง


หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยคือการตลาดแบบ “โฆษณาหลอก” จากบางคลินิก เช่น:

  • ระบุว่าใช้ 100 ยูนิต แต่ในความเป็นจริงลูกค้าไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้เลยว่าได้ครบหรือไม่ เพราะเมื่อเข้าห้องหัตถการ พนักงานก็เตรียมโบท็อกซ์ที่แบ่งใส่เข็มมาให้เรียบร้อยแล้ว

  • บางคลินิกใช้วิธีการเปิดขวดยาแล้วเจือจางเกินมาตรฐาน เพื่อให้ได้ปริมาณมากๆ ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าได้ยูนิตเยอะ


ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นแพ็กเกจที่ตั้งราคาถูกมากๆ จนผิดสังเกต เช่นโบท็อกซ์ 100 ยูนิต เพียง 1990.- พร้อมของแถม 10 รายการ ซึ่งไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง ผลที่เกิดขึ้นคือ ลูกค้าอาจเกิดความเข้าว่าได้โบท็อกซ์ในปริมาณเต็ม 100 ยูนิต ในราคาสุดคุ้ม แต่ในความเป็นจริงแล้วได้ไม่ถึงครึ่ง ทำให้ไม่เกิดผลหรือ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน จนหลายคนถึงกลับต้องเปลี่ยนคลินิกเพื่อไปฉีดใหม่อีกรอบ เสี่ยงเกิดการดื้อโบท็อกซ์จากการฉีดซ้ำๆหลายครั้ง


วิธีป้องกันที่ดีที่สุด:

  • ขอให้คลินิกโชว์ ขวด / อย. / วันหมดอายุของยา เพื่อมั่นใจว่าเป็นตัวยาคุณภาพ

  • หากต้องการมั่นใจว่าจะได้ 100 ยูนิต เป๊ะๆ ควร ซื้อแบบ “เหมาขวด” และให้แพทย์เปิดขวดต่อหน้าทุกครั้ง (การซื้อแบบเหมาขวดจะมีราคาที่สูงกว่าแบบแชร์ขวด แต่ได้ความอุ่นใจที่สุดค่ะ)

  • กรณีฉีดแบบเหมาขวด ต้องสามารถแสกน QR Code และสามารถเก็บกล่องกลับบ้านไว้เป็นหลักฐานได้




4. ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน / เสื่อมสภาพ


โบท็อกซ์เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไวต่ออุณหภูมิและการจัดเก็บเป็นอย่างมาก หากไม่ได้เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม (2–8 องศาเซลเซียส) ตัวยาอาจเสื่อมสภาพจนหมดฤทธิ์ก่อนจะถูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งหมายความว่าแม้จะฉีดเข้าไปแล้ว ก็อาจไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ หรือเห็นผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ตัวยาที่เป็นของปลอม ไม่มีทะเบียน อย. ก็อาจไม่มีคุณภาพและมาตรฐานในการผลิตที่เชื่อถือได้ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย


อีกหนึ่งข้อควรระวังคือกระบวนการเตรียมยา หากแพทย์หรือผู้ให้บริการเตรียมตัวยาไว้นานเกินไปก่อนฉีด หรือเปิดขวดยาแล้วไม่ใช้งานทันที โบท็อกซ์อาจสูญเสียฤทธิ์จากการสัมผัสกับอุณหภูมิภายนอกหรือแสง โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ดึงยาจากตู้เย็นในขณะที่ยังรักษาอุณหภูมิได้ดี ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การฉีดโบท็อกซ์ควรเป็นการ ดึงยาใหม่จากขวดที่เก็บในตู้เย็นทันที และฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และมีมาตรฐานชัดเจน ค่ะ


การเลือกคลินิกที่ใช้ยาแท้ มีเลขทะเบียน อย. และมีระบบการเก็บรักษาตัวยาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ใช่แค่เรื่องของผลลัพธ์ที่ได้ แต่ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยในระยะยาวของคนไข้ด้วยค่ะ




5. เทคนิคการฉีดของแพทย์ไม่มีความแม่นยำ


แม้จะใช้โบท็อกซ์แท้ครบยูนิต แต่หากแพทย์วางตำแหน่งผิด เช่น:

  • ฉีดตื้นเกินไป ทำให้ตัวยาไม่ถึงกล้ามเนื้อ

  • ฉีดลึกเกินไป กระจายไม่เหมาะสม

  • ใช้เข็มผิดขนาด หรือจุดฉีดไม่ตรงจุดที่กล้ามเนื้อทำงาน

ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สมส่วน ข้างหนึ่งยก ข้างหนึ่งไม่ หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย


Pure Clinic ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ที่ผ่านการฝึกอบรมเทคนิคเฉพาะ และมีการประเมินกล้ามเนื้อแบบรายบุคคลก่อนทำทุกครั้ง


เคสตัวอย่าง: ฉีดโบท็อกซ์ จากปัญหาที่หลากหลาย

บริเวณ

จำนวนยูนิตเฉลี่ย

เหมาะกับคนที่

หน้าผาก 20U + ร่องขมวดคิ้ว 20U + ตีนกา 24U

รวม 64U

ไม่มีปัญหากราม ต้องการลดริ้วรอยเฉพาะ

กราม 50U + ตีนกา 12U + หน้าผาก 10U + คาง/มุมปาก 6U

รวม 78U

ต้องการปรับรูปหน้าและลดริ้วรอยบางส่วน

กราม 80U + ตีนกา 12U + หน้าผาก 8U

รวม 100U

กรามใหญ่ มีริ้วรอยน้อย

กราม 80U + หน้าผาก 20U + ร่องขมวดคิ้ว 20U + ตีนกา 24U

รวม 144U

กรามใหญ่ มีริ้วรอยมากเป็นพิเศษ

จะเห็นได้ว่าในแต่ละเคส ใช้จำนวนยูนิตไม่เท่ากัน ถ้าใช้ 100 ยูนิต ทุกเคส การเห็นผลอาจจะตึงเกินไป พอดี หรือ ไม่เห็นผลได้เลย “กระจายแต่ไม่มากพอ” ดังนั้นแล้วการฉีดตามความจำเป็นของแต่ละจุด จึงเหมาะสมที่สุดค่ะ


ทำไมต้องเลือกฉีดโบท็อกซ์ที่ Pure Clinic?


✨ เราเข้าใจดีว่าคุณต้องการผลลัพธ์ที่ “เห็นผลจริง” และ “คุ้มค่าทุกบาทที่จ่าย”ด้วยเหตุนี้ Pure Clinic จึงยึดหลักการบริการที่ โปร่งใส ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด


Pure Clinic จึงมีแพ็กเกจโบท็อกซ์ให้คุณเลือก 2 รูปแบบ


  1. แบบเซ็ตเหมาไม่จำกัดยูนิต สำหรับคนงบประหยัดที่ต้องการเห็นผลลัพธ์จริง เราเหมาไม่จำกัดยูนิต ฉีดให้ในปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพื่อแก้ปัญหาใบหน้าของแต่ละบุคคลที่ต้องการแก้ไม่เหมือนกันบางเคสใช้มาก บางเคสใช้น้อย มีการติดตามผลลัพธ์ 14 วัน สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย และ 28 วันสำหรับโบท็อกซ์ลดกราม หากไม่เห็นผลฉีดซ้ำฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


  2. แบบเหมาขวด 100 ยูนิต สำหรับคนที่ต้องการความมั่นใจ อุ่นใจ ได้โบท็อกซ์ครบ นำกล่องกลับบ้านได้ แพทย์จะประเมินและช่วยออกแบบการฉีดใน 100ยูนิต เพื่อกระจายโบท็อกซ์ให้ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้มากที่สุด





นัดหมายปรึกษา หรือจองคิวได้ที่:


Pure Clinic – โครงการ Anacade บางนา เปิดบริการ: พุธ–อาทิตย์ | 13:00 – 20:00 น. โทร: 099-956-4799 / 063-947-4447 LINE: @pureskinclinicbkk


コメント


  • Facebook
  • TikTok
  • Instagram
  • Line
ปรึกษาฟรี 099-956-4799 / 063-947-4447 

เพียวคลินิกเวชกรรม ใบอนุญาตที่ 10101001668 © 2025 Pure Clinic Bangna all right reserved

bottom of page